รีวิว 5 DRx ตัวใหม่ ประตูแห่งโอกาสที่เปิดกว้างมากขึ้น
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รับ DRx
อ้างอิงหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq สหรัฐอเมริกา ได้แก่
1.“AMZN80X” อ้างอิงหุ้น Amazon บริษัทเทคโนโลยี และ e-Commerce ชั้นนำ ผู้ประกอบธุรกิจสตรีมมิ่งCloud Computing และ AI
2.“BKNG80X” อ้างอิงหุ้น Booking Holdings แพลตฟอร์มออนไลน์ในการจองที่พัก เที่ยวบิน รถเช่า และร้านอาหารระดับโลก
3.“META80X” อ้างอิงหุ้น Meta แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Facebook Instagram และ WhatsApp
4.“NFLX80X” อ้างอิงหุ้น Netflix ผู้ให้บริการความบันเทิงสตรีมมิ่งวิดีโอ และผู้ผลิตคอนเทนต์ยอดนิยม
5.“SBUX80X” อ้างอิงหุ้น Starbucks ผู้จำหน่ายกาแฟ อาหาร และเครื่องดื่มต่างๆ มีสาขามากกว่า 30,000 แห่งในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก DRx ใหม่
ธนาคารกรุงไทยจะมีการเปิดตัว DRx เพิ่มเติมอีก 5 หลักทรัพย์ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทย จะมีบริษัทอะไรบ้าง มาทำความรู้จักกันเลย !!
ชาลส์ ดาร์วิน นักธรรมชาติวิทยาที่มีชื่อเสียงที่สุดชาวอังกฤษได้เคยกล่าวไว้ว่า “ธรรมชาติไม่ได้คัดเลือกสิ่งที่ดีที่สุดหรือแข็งแรงที่สุด เพราะธรรมชาติไม่รู้หรอกว่าอะไรคือ ดี แข็งแรง หรือจะรู้ได้ว่าจะเลือกให้อะไรถูกพัฒนาขึ้นมา แต่เป็นสิ่งมีชีวิตต่างหากที่เลือกปรับตัวไปกับสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่ ในแต่ละเวลา ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป”
ตลาดการเงินเป็นหนึ่งในที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างต่อเนื่องโดยมีปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่หลายอย่าง เช่น ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดอกเบี้ย ภาษี ประชากรศาสตร์ การเมืองภายในประเทศและต่างประเทศ เรื่องของโลกร้อน รวมไปถึงกฎหมาย กฎเกณฑ์ และข้อบังคับที่เปลี่ยนแปลงไป
ปี 2023 โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ถือเป็นช่วงที่มีความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญสำหรับนักลงทุน โดยทางสรรพากรจะเริ่มเก็บภาษีรายได้ส่วนบุคคลจากกำไรที่ได้จากการลงทุนในต่างประเทศนับตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป แต่ทางสรรพากรยังเปิดช่องให้เอาเงินลงทุนกลับได้แบบไม่เสียภาษีเป็นครั้งสุดท้าย โดยที่นักลงทุนจะต้องขายการลงทุนในต่างประเทศภายในปี 2023 และนำเงินกลับในปีถัดไป แต่เมื่อเข้าปี 2024 กำไรจากการลงทุนในต่างประเทศของบุคคลธรรมดาจะต้องถูกนำมาคำนวณภาษีรายได้เมื่อมีการนำกลับมาในไทย ไม่ว่าจะปีไหนก็ตาม ส่งผลให้นักลงทุนในไทยมีการตื่นตัวกับคำสั่งล่าสุดของสรรพากรเป็นอย่างมาก เพราะเป็นที่ทราบกันดีในวงกว้างว่า การลงทุนเฉพาะแต่ในประเทศ มันอาจจะไม่เพียงพอแล้วสำหรับโลกในยุคปัจจุบัน
ในแง่ของผลตอบแทนด้านการลงทุน ปี 2023 ถือเป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง โดยปรับตัวลดลงไปถึง 15.2% ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นกันได้เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 24.2% ด้านดัชนี Nasdaq 100 ที่รวมหุ้น “New Economy” โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ไว้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 53.8% ส่วนดัชนีหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ทั้ง 7 หรือ Magnificent 7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้กว่า 100% โดยเฉพาะหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจด้าน AI อย่าง NVIDIA และ Microsoft ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างโดดเด่นมาก หลังจากที่หุ้นในกลุ่มเหล่านี้ได้มีการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในปี 2022 ที่สหรัฐฯ เริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็วและรุนแรง รวมไปถึงผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากและเข้ามาซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อที่ค่อนข้างจะหนักหนาอยู่แล้ว
ผู้ที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนานในตลาดทุนได้เคยเผยแง่คิดที่น่าสนใจไว้ว่า “การลงทุนในตลาดหุ้นเปรียบเสมือนการปีนหน้าผาแห่งความคาดหวัง” เพราะในตอนที่เราลงทุน เราก็คาดหวังว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่ดีและขยายธุรกิจไปได้ต่อเนื่อง แต่ระหว่างทางของการลงทุนก็จะมีปัจจัยบวกและลบต่าง ๆ ทั้งจากตัวบริษัทเองและปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้เข้ามากระทบ ดังนั้น นักลงทุนจะต้องมีจิตใจที่มั่นคงหนักแน่น และติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอ สำหรับความเสี่ยงที่น่าติดตามในปี 2024 จากความเห็นของผู้นำทางการเมืองและเศรษฐกิจจำนวน 1,490 ท่านที่สำรวจโดยสภาเศรษฐกิจโลกหรือ World Economic Forum พบว่า ความเสี่ยงที่น่ากังวลเป็นอันดับ 1 คือเรื่องของ “สภาพอากาศที่สุดขั้ว” มีความกังวลสูงถึง 66% จากการสำรวจ รองลงมาคือ “การนำ AI ไปใช้อย่างผิดวิสัย” 53% และอันดับ 3 คือ “ความแตกแยกของสังคมที่เกิดจากความเชื่อและความศรัทธาที่แตกต่างกัน” 46% แต่ความเสี่ยงที่มีความกังวลน้อยที่สุดกลับเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ นั่นคือ “ฟองสบู่ของหุ้นเทคโนโลยีจะแตก” 4% และ “ฟองสบู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะแตก” 4% เช่นเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าผู้นำทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองมีความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจไม่มากนักและเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกที่นำโดยสหรัฐฯ ยังมีความแข็งแกร่งสูง แต่มีความกังวลในเรื่องอย่างภูมิอากาศ อาชญากรรมไซเบอร์ และการเมือง เป็นหลัก
ย้อนกลับไปในช่วงปลายไตรมาส 3 ปี 2022 ธนาคารกรุงไทยได้มีการเปิดตัว DRx ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถลงทุนหุ้นต่างประเทศได้ง่าย ๆ ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยได้เปิดตัว DRx ของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 2 บริษัทอย่าง Apple (AAPL80X) และ Tesla (TSLA80X) ต่อจากนั้นในช่วงกลางปี 2023 ทางกรุงไทยได้เปิดตัว DRx เพิ่มเติมอีก 3 หลักทรัพย์นั่นคือ Microsoft (MSFT80X) Alphabet (GOOG80X) และ NVIDIA (NVDA80X) ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เพราะมีความสะดวกสบายในการลงทุน ใช้เงินบาทในการซื้อขาย และไม่ต้องเสียภาษีจากกำไรของส่วนต่างราคา (Capital Gain Tax) ช่วงเวลาสำหรับการซื้อขายก็เหมือนกับเวลาที่สหรัฐฯ โดยสามารถซื้อขายได้ตั้งแต่เวลา 20.00 น.ถึง 04.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย
มาถึงต้นปี 2024 ทางธนาคารกรุงไทยจะมีการเปิดตัว DRx เพิ่มเติมอีก 5 หลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนให้กับนักลงทุนไทยให้ได้เข้าถึงบริษัทที่มีสินค้า บริการ และตราสินค้าที่โดดเด่นในระดับโลก มาดูกันว่าบริษัทที่จะนำมาออกเป็น DRx จะมีบริษัทอะไรบ้าง มาทำความรู้จักบริษัทเหล่านี้ให้มากขึ้นกันเลยดีกว่า
(1) Amazon.com Inc. (AMZN80X)
– เมื่อพูดถึงบริษัท Amazon แล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะมีภาพขึ้นมาในหัวว่า นี่คือบริษัทค้าปลีกด้าน E-Commerce รายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ที่จริงแล้ว ทางบริษัทยังมีเครื่องยนต์แห่งการเติบโตหรือ Growth Engine หลักอีกหนึ่งธุรกิจ นั่นก็คือธุรกิจ Cloud Computing อย่าง Amazon Web Service (AWS) ที่ถือว่าเป็นเจ้าตลาดและยังเติบโตได้สูง
– ปัจจุบัน AWS มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 32% อันดับ 2 คือ Azure ของ Microsoft ที่ 22% นอกจากรายได้ของธุรกิจ E-Commerce และ Cloud Computing จะมีความแข็งแกร่งสูงแล้ว อีกธุรกิจที่เติบโตได้สูงมากของ Amazon คือ ธุรกิจโฆษณา ปัจจุบัน ผู้ทำธุรกิจ E-Commerce หันมาลงโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Marketplace อย่าง Amazon เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้จะมีข้อมูลของลูกค้าว่าที่ผ่านมา ลูกค้าแต่ละคนเคยเปิดดูและซื้อสินค้าอะไร ทำให้การลงโฆษณาบน Marketplace มีประสิทธิภาพที่ค่อนข้างสูง
– ล่าสุด (ข้อมูลเมื่อปิดตลาดวันที่ 12.01.2024) จากการที่บริษัทมีสินค้าและบริการที่หลากหลายและเป็นผู้นำตลาด ทำให้กำไรขั้นต้นของบริษัทปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากงบการเงินไตรมาสล่าสุด (Q3/2023) มีกำไรขั้นต้นที่ 46.2% และมีกำไรสุทธิที่ 3.6% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอยู่พอสมควรที่ 2.9% ROE เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 20% มีขนาด Market Cap ที่ 1.6 ล้านล้านเหรียญ ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
(2) Meta Platforms Inc. (META80X)
– Meta Platforms เจ้าของสื่อสังคมออนไลน์หรือ Social Media ชื่อดังอย่าง Facebook, Instagram และ WhatsApp จากข้อมูลล่าสุดในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พบว่า จำนวนผู้ใช้งาน Facebook อย่างต่อเนื่องมีจำนวนทะลุ 3,000 ล้านคนไปแล้วเรียบร้อย ขณะที่จำนวนผู้ใช้งานสม่ำเสมอทุกวันมีจำนวนสูงถึง 2,090 ล้านคน เติบโตขึ้น 5.09% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ประชากรอินเดียคือผู้ใช้งาน Facebook มากที่สุดที่ 385.6 ล้านคน รองลงมาคือสหรัฐฯ 188.6 ล้านคน และ อินโดนีเซีย 136.3 ล้านคน
– ในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา แพลตฟอร์ม E-Commerce ของจีนที่เน้นขายเครื่องแต่งกายอย่าง SHEIN และ Temu ที่มีกลยุทธ์ในการเจาะตลาดสหรัฐฯ ผ่านการโปรโมทอย่างหนักบนโซเชียลมีเดียชื่อดังอย่าง Facebook และ Instagram คาดว่าทั้งคู่ใช้งบโฆษณาสูงเกินกว่า 1,000 ล้านเหรียญในปีที่ผ่านมา
– จากการประหยัดจากขนาดหรือ Economy of Scale ทำให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นที่สูงถึงกว่า 80% เล็กน้อย สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 60% และมีกำไรสุทธิเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 29% ขณะที่ในอุตสาหกรรมจะขาดทุนเป็นส่วนใหญ่ -12.6% ROE อยู่ที่ 24% บริษัทมีขนาดของ Market Cap ที่ 962,390 ล้านเหรียญ ใหญ่เป็นอันดับ 6 ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
จาก DRx ที่ได้เปิดตัวในปี 2022 – 2023 จำนวน 5 หลักทรัพย์ รวมกับ AMZN80X และ META80X ในปี 2024 ทำให้นักลงทุนไทยจะสามารถลงทุนในหุ้น 7 นางฟ้าหรือ Magnificent 7 ผ่าน DRx ได้ครบทุกหลักทรัพย์
(3) Netflix Inc. (NFLX80X)
– Netflix ผู้ให้บริการด้าน VDO Streaming รายใหญ่ที่สุดของโลก ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิก 247.15 ล้านคน (ข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2023) ทำรายได้สูงถึง 24,891 ล้านเหรียญใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2023 และมีสัดส่วน 8% สำหรับเวลาที่คนทั่วโลกใช้ดู VDO Streaming
– ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่มีความท้าทายสูงสำหรับ Netflix โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 2 เหตุการณ์ (1) Netflix ได้เพิ่มแพ็คเกจรายเดือนแบบถูกซึ่งจะมีโฆษณาระหว่างการรับชมบ้าง โดยมีค่าบริการรายเดือนที่ $6.99 จากรายงานล่าสุด มีจำนวนสมาชิกที่ใช้แพ็คเกจนี้สูงเกินกว่า 15 ล้านคนแล้ว ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ (2) มาตรการจัดระเบียบการแชร์ username และ password ของคนที่อยู่กันคนละบ้าน การเคลื่อนไหวทั้ง 2 ส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อบริษัททั้งในแง่ของรายได้และจำนวนสมาชิก
– ช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่า Netflix จะมีคู่แข่งเข้ามามากขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนส่วนใหญ่ที่ยอมจ่ายค่าสมาชิก VDO Streaming จะมี Netflix เป็นหลักเนื่องจากคอนเทนต์ที่หลากหลาย รวมไปถึงคอนเทนต์ exclusive ที่มีเฉพาะบน Netflix เท่านั้น
– บริษัทมีกำไรขั้นต้นเฉลี่ย 5 ปีที่ 39.4% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 61.5% แต่เนื่องจากมีฐานลูกค้ามากที่สุด ส่งผลให้มีกำไรสุทธิที่ 12.6% ขณะที่ค่าเฉลี่ยจะขาดทุนที่ -12.6% ROE สูงระดับ 29% Netflix มีมูลค่า Market Cap ที่ 215,400 ล้านเหรียญ ใหญ่เป็นอันดับที่ 31 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
(4) Booking Holdings Inc. (BKNG80X)
– บริษัทผู้ให้บริการด้านการจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว และ ร้านอาหาร อย่างครบวงจรผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ทางบริษัทถูกจัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมย่อยอย่าง Travel Technology และเป็นหนึ่งในสมาชิกของดัชนี Nasdaq 100
– บริษัทเป็นผู้ให้บริการด้านการจองต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวที่ครบวงจรและมีตราสินค้าที่เป็นที่นิยมและได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูง เช่น Booking.com ผู้นำเสนอทางเลือกที่กว้างที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยว Priceline.com ผู้นำในด้านการท่องเที่ยวที่มีราคาประหยัด Agoda.com ผู้นำเสนอทางเลือกการเดินทางทั่วโลกที่เป็นที่นิยมของคนเอเชีย Rentalcar.com บริการเช่ารถยนต์ออนไลน์ KAYAK ให้บริการด้านการเปรียบเทียบราคาของผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยว OpenTable ผู้นำในการให้บริการด้านการจองร้านอาหารชื่อดังผ่านช่องทางออนไลน์
– ปัจจุบัน การท่องเที่ยวทั่วโลกได้ฟื้นตัวมาอยู่ในภาวะปกติแล้ว บางประเทศอาจจะมีการท่องเที่ยวที่คึกคักกว่าปี 2019 ก่อนการแพร่ระบาดของ Covid-19 เสียอีก จากรายงานประจำปีของ Booking พบว่าอัตราการจองโรงแรมในปี 2022 ก็มีการเติบโตจากปี 2019 ราว 6% แล้ว
– จุดเด่นของบริษัทอยู่ที่การให้บริการผ่านระบบออนไลน์ ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้นสูงถึง 83% ขณะที่ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 42% และมีกำไรสุทธิที่ 25.7% ฐานะการเงินแข็งแกร่งและไม่มีหนี้สินระยะยาวเลยแต่ ROE ยังสูงถึง 64% ปัจจุบัน บริษัทมีขนาดของ Market Cap ที่ 122,190 ล้านเหรียญ อยู่ที่อันดับ 69 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
(5) Starbucks Corporation (SBUX80X)
– บริษัทเชนร้านกาแฟชื่อดังผู้วางมาตรฐานใหม่ให้กับเชนร้านกาแฟทั่วโลกในวงกว้างนับตั้งแต่ยุค 90s ปัจจุบัน Starbucks มีสาขาทั่วโลกกว่า 38,000 สาขา โดยภูมิภาคอเมริกาเหนือคือตลาดที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท จากข้อมูล ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2023 สหรัฐฯ มีสาขา 16,346 สาขา แคนาดา 1,458 สาขา ถัดมา จีนคือตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของบริษัท โดยมีสาขาทั้งหมด 6,804 สาขา แม้แต่ไทยเองก็ถือว่ามีสาขาของ Starbucks ในระดับค่อนข้างสูงที่ 474 สาขา
– จากผลการดำเนินงานล่าสุด Starbucks ยังเติบโตได้ค่อนข้างดีตามการท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง กำไรของปี 2023 เติบโตขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และทางบริษัทมีแผนที่จะนำเสนอเครื่องดื่มเมนูเย็นมากขึ้น เนื่องจากได้รับความนิยมมากขึ้นทั่วโลกจากภาวะโลกร้อน แต่บริษัทก็เจอกับปัจจัยด้านลบจากเรื่องโลกร้อนเช่นกันจากราคาเมล็ดกาแฟที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
– บริษัทมีกำไรขั้นต้นเฉลี่ย 5 ปีที่ 26.6% ต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่ 42% แต่มีกำไรสุทธิที่ 10.7% ดีกว่าอุตสาหกรรมมากจากการบริหารที่มีประสิทธิภาพและการประหยัดจากขนาด ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมขาดทุนที่ -22.2% ฐานะการเงินของบริษัทแข็งแกร่งมากจากการที่ผู้ใช้งาน Starbucks Reward เติมเงินเข้ามาก่อนซื้อของ ทำให้ Starbucks มีเงินสดในมือสูงถึงกว่า 3,500 ล้านเหรียญ ล่าสุด Starbucks มีขนาด Market Cap ที่ 104,550 ล้านเหรียญ ใหญ่เป็นอันดับ 81 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ถึงแม้ทั้ง 5 บริษัทจะเป็นบริษัทที่อยู่ในสหรัฐฯ แต่สินค้าและบริการได้กระจายไปทั่วโลก ผู้อ่านอาจจะได้ใช้บริการหรือซื้อสินค้าของบริษัทเหล่านี้กันอยู่แล้ว ยิ่งเราได้รู้ว่าสินค้าและบริการของบริษัทเหล่านี้มีคุณภาพอย่างไร ก็น่าจะยิ่งทำให้พวกเรามีความมั่นใจในตัวบริษัทมากขึ้น โดย DRx ทั้ง 5 บริษัทจะเริ่มซื้อขายวันแรกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ โดยผู้ที่มีบัญชีซื้อขาย DRx อยู่แล้ว ก็สามารถส่งคำสั่งซื้อได้เลย ผ่านแอป Streaming ตั้งแต่เวลา 20.00 – 04.00 น. (เวลาประเทศไทย) และสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยซื้อขาย DRx มาก่อน ก็สามารถติดต่อโบรกเกอร์ ผู้ให้บริการซื้อขาย DRx ได้ที่ คลิกที่นี่
จากนี้ไป นักลงทุนไทยจะสามารถลงทุนในหุ้น Magnificent ทั้ง 7 อย่าง Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, NVIDIA, Meta และ Tesla ผ่าน DRx ได้ รวมถึงบริษัทชั้นนำอื่น ๆ อย่าง Netflix, Booking Holdings และ Starbucks
โอกาสและทางเลือกที่มากขึ้นจะทำให้นักลงทุนสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ยืดหยุ่นมากขึ้น โลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วในอัตราเร่ง ความเสี่ยงในตลาดการเงินมีทั้งที่คาดการณ์ได้และคาดไม่ถึง เราได้ก้าวเท้าเข้าสู่ยุคของ AI มากยิ่งขึ้น ดังนั้น คุณภาพและความแข็งแกร่งของบริษัทที่เราลงทุนจะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น
DRx (Fractional Depositary Receipt) หรือ ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้เราสามารถเข้าไปลงทุนในบริษัทระดับโลกได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม (ดูข้อมูลเกี่ยวกับ DRx เพิ่มเติมได้ที่ www.setinvestnow.com/DRx)
Alphabet Inc. (GOOG) ชื่อย่อหลักทรัพย์ DRx คือ GOOG80X
บริษัทแม่ของ Google เจ้าของแพลตฟอร์ม Search Engine อันดับ 1 ของโลก ที่มีรายได้หลักหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่มาจากโฆษณา Search, Google Network และ YouTube ได้พัฒนา AI มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดเปิดตัว Chatbot อย่าง “Bard AI” ที่ถือเป็นคู่แข่งสำคัญของ ChatGPT และ Bing AI
แถมยังมีบริการใหม่อย่าง Google Cloud ที่สามารถสร้างกำไรโดยรวม ตั้งแต่ก่อตั้งมาได้ถึง 7,454 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจต่อการเติบโตเป็นอย่างมาก
Microsoft Corp. (MSFT) ชื่อย่อหลักทรัพย์ DRx คือ MSFT80X
บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ ระบบปฏิบัติการ Windows โปรแกรม Microsoft Office สำหรับบุคคล และองค์กร รวมถึงมีบริการคลาวด์ ซึ่งล่าสุดก็ได้ร่วมมือกับ OpenAI พัฒนาโปรแกรม ChatGPT ที่คนให้ความสนใจกันอย่างมาก จนมีผู้ใช้งานกว่า 100 ล้านคน ในระยะเวลาเพียง 2 เดือน
ล่าสุดก็ได้มีการประกาศอีกว่าจะลงทุนเพิ่มในบริษัท OpenAI และอาจนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใส่ในผลิตภัณฑ์ของ Microsoft อีกด้วยทำให้มีการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ว่า สิ่งที่ Microsoft ทำนี้ อาจสามารถเพิ่มรายได้ใหม่ประจำปีให้บริษัทได้มากกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เลยทีเดียว
Nvidia Corp. (NVDA) ชื่อย่อหลักทรัพย์ DRx คือ NVDA80X
ผู้ผลิตหน่วยประมวลผลทางด้านกราฟิก (GPUs) หรือการ์ดจอที่เรารู้จักกันดี แถมยังถูกนำไปใช้ในการขุดเงินสกุลดิจิทัลอีกด้วย จนสินค้าของ Nvidia เกิดความต้องการจนล้นตลาด ทำให้ราคาของหุ้น Nvidia พุ่งสูงขึ้น จนทำให้มูลค่าของบริษัทสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา
ด้วยกระแสของ AI เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บริษัทเป็นที่น่าจับตามอง เพราะรายได้หลักของบริษัทมาจากธุรกิจ Data Center รวมถึงชิปประมวลผลที่เกี่ยวกับ AI ซึ่งชิป AI กำลังเป็นที่ต้องการของหลายบริษัททั่วโลก
Apple Inc. (AAPL) ชื่อย่อหลักทรัพย์ DRx คือ AAPL80X
เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าบริษัทสูงที่สุดในโลก โดยมีคอนเซปต์ที่เน้นเรื่องความเรียบง่าย ตั้งแต่เรื่องระบบปฏิบัติการ ไปจนถึงดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ ทำให้ได้รับความนิยมทั้งในเรื่องการใช้งาน และการสะท้อนภาพลักษณ์ของผู้ใช้ จนแบรนด์ Apple ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราอย่าง iPhone, iPad, และ MacBook เป็นต้น
และจากผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2022 Apple มีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 25,010 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจากรายงานของ Counterpoint Research พบว่า บริษัทยังคงครองส่วนแบ่งตลาดสมาร์ตโฟน กลุ่มพรีเมียมกว่า 62% เลยทีเดียว
Tesla Inc. (TSLA) ชื่อย่อหลักทรัพย์ DRx คือ TSLA80X
ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก ที่ทำการปฏิวัติวงการยานยนต์มากมาย เช่น
– นำระบบ AI เข้ามาใช้ในการขับ
– ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า
– สร้างสถานีชาร์จสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าทั่วสหรัฐฯ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า Tesla กำลังสร้าง Ecosystem ในวงการยานยนต์ที่ถูกเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำยุคเอามาก ๆ
DRx เป็นตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ DR (Depositary Receipt) ประเภทหนึ่งที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์เสมือนการถือครองหลักทรัพย์ต่างประเทศ