สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2566 ลงเหลือ 2.4% จากเดิมที่คาดไว้ 2.8% เนื่องจากปัจจัยลบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น กระทบต่อต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพของประชาชน ประกอบกับเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ส่งผลต่อการส่งออกของไทย
ส่วนในปี 2567 สภาพัฒน์คาดว่า GDP จะขยายตัว 3.2% โดยปัจจัยบวกมาจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ส่งผลให้การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น
ปัจจัยลบที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ได้แก่
- สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น กระทบต่อต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพของประชาชน
- เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ส่งผลต่อการส่งออกของไทย
- ภาคเกษตรได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง
- ภาคการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
ปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ได้แก่
- แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
- การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ส่งผลให้การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม สภาพัฒน์ได้ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยืดเยื้อ และเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้