นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยว่า ผลการเสนอขายหุ้นกู้ 2 รุ่น มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท ได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนอย่างดีเยี่ยมสามารถจำหน่ายได้ทั้งจำนวนตามที่บริษัทตั้งเป้าไว้ และยังมีนักลงทุนอยู่จำนวนหนึ่งที่ยังต้องการลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทส่งผลให้บริษัทต้องนำหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมหรือ Greenshoe Option มาใช้ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ที่มีแนวโน้มการเติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งบริษัทฯ พร้อมที่จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้ในการชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด และใช้ในการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ต่อไป
สำหรับหุ้นกู้ดังกล่าวเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกันและมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ โดยเป็นการเสนอขายให้กับผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) ซึ่งจะจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ซึ่งได้เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 21และ 25 – 26 ตุลาคม 2565 และหุ้นกู้ดังกล่าวมีอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” โดย ทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2565
“หุ้นกู้ของ MTC ยังได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้ง เนื่องจากธุรกิจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีความสามารถในการทำกำไรในระดับสูง แม้อยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะเดียวกันเชื่อว่า แนวโน้มการดำเนินธุรกิจยังอยู่ในทิศทางที่ดี เนื่องจากความต้องการสินเชื่อใหม่มากขึ้น ขณะที่บริษัทฯมีสภาพคล่องทางเงินในระดับที่ดี และแหล่งทุนที่หลากหลายมากขึ้น ส่งผลให้มีความมั่นคงสูงทั้งในปัจจุบันและอนาคต” นายปริทัศน์กล่าว
ส่วนแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯประเมินว่า ภาพรวมของสินเชื่อยังเติบโตได้ดี ซึ่งได้รับแรงหนุนจากไฮซีซันของธุรกิจสินเชื่อ โดยเฉพาะฤดูกาลทำการเกษตรทำให้ความต้องการสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ยังอยู่ในระดับที่บริษัทฯ ควบคุมได้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายการปรับค่าแรงงานขั้นต่ำจะช่วยเพิ่มความสามารถในการผ่อนชำระของลูกหนี้
บริษัทฯยังคงเป้าหมายการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อรวมในปี 2565 จะเติบโตแตะระดับ 120,000 ล้านบาทและสำหรับเป้าระยะยาวบริษัทฯ ตั้งเป้าไว้ที่ 200,000 ล้านบาทภายในปี 2569 ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ถ้าบริษัทฯสามารถรักษาการเติบโตอย่างในปัจจุบันได้ เป้าที่ตั้งไว้ก็น่าจะเป็นไปได้
ทั้งนี้ บริษัทฯได้เดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทฯ มีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6,475 สาขา เพิ่มขึ้นจำนวน 676 สาขาในปี 2565 จากเป้าหมายการเปิดสาขาปี 2565 อยู่ที่ 6,500 สาขา ซึ่งมีโอกาสจะขยายสาขาได้มากกว่าที่ประเมินไว้ ถือว่าเป็นบริษัทฯ ที่มีจำนวนสาขา และลูกค้ามากที่สุดในประเทศไทย เพื่อให้สามารถบริการแก่ผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อได้อย่างทั่วถึงและกระจายในวงกว้างมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ส่วนกรณีที่ สคบ.ได้ปรับเพดานดอกเบี้ยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ บริษัทฯมั่นใจว่าจะไม่มีผลกระทบกับธุรกิจหลักที่เน้นการปล่อยสินเชื่อที่มีหลักประกันกว่า 80% ในขณะที่ยอดสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่มีเพียง 5% ของพอร์ตรวมประกอบกับบริษัทฯ คิดดอกเบี้ยอยู่ในระดับเดียวกับเพดานดอกเบี้ยที่ สคบ. พิจารณากำหนด จึงไม่กังวลกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว